วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

วัดอโศการาม

   ตั้งอยู่เทศบาลบางปูซอย 60 ถนนสุขุมวิทสายเก่า ตำบลท้ายบ้าน ห่างจากตัวเมือง 6 กิโลเมตร (เข้ามาจากถนนสุขุมวิทประมาณ 1 กิโลเมตร) สร้างเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2505 ฝ่ายธรรมยุตินิกาย โดยพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร) เป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง และเป็นสถานที่สำหรับวิปัสสนากรรมฐาน มีสิ่งที่น่าชม เช่น พระธุตังคเจดีย์ เป็นพระเจดีย์หมู่รวม 13 องค์ แต่ละองค์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เป็นที่ระลึกถึงธุดงควัตร 13 ประการ และวิหารวิสุทธิธรรมรังสี อาคารจตุรมุข 3 ชั้นส่วนยอดเป็นมณฑปประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุเช่นกัน ภายในวิหารประดิษฐานสรีระท่านอาจารย์ลี ติดต่อสอบถามรายละเอียดที่ 0 2395 0003

การเดินทาง

จากสามแยกสมุทรปราการให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิทสายเก่า (ไปทางบางปู) ประมาณกิโลเมตรที่ 31 ให้กลับรถแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยเทศบาลบางปู 60 ประมาณ 1 กิโลเมตร จะพบวัดอโศการามอยู่ทางซ้ายมือ สามารถใช้บริการรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ ขสมก. สาย 25, 102, 142, 145, 507, 508, 511 และ 536 รถโดยสารประจำทางธรรมดาสาย 25, 102 และ 145 ไปยังตลาดปากน้ำ แล้วต่อรถสองแถว ปากน้ำ-วัดตำหรุ, ปากน้ำ-นิคมฯบางปู และปากน้ำ-คลองด่าน ก็สามารถไปถึงได้

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ตลาดน้ำบางน้ำผึ่ง


ขอแนะนำตลาดน้ำน้องใหม่ใกล้กรุงอีกแห่งหนึ่ง ที่เพื่อนๆไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปไหนไกลก็ได้บรรยากาศชาวบ้าน ๆ สบาย ๆ ได้แล้ว " ตลาดน้ำบางน้ำพึ่ง " ตลาดนี้เด่นด้วยของกินหลากหลายที่ขายกันเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่ไปเรื่อยจนไปวายเอาตอนบ่ายแก่ ๆ เรียกว่าเหมาะมากกับการเป็นแหล่ง Brunch ชั้นดี ที่พอตื่นนอนตอนสายในวันหยุดแล้วก็ออกมาหามื้อเช้าผสมเที่ยงทานพร้อมกันไปเลย
" ตลาดน้ำบางน้ำพึ่ง " ถูกจัดตั้งเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าผลิตผลทางการเกษตรและได้ขยายกรอบการดำเนินงานให้กว้างขึ้น เพิ่มสินค้าในตลาดให้หลากหลายทั้งของกินของใช้ของฝากนานาชนิด จัดเป็นซุ้มให้มีทางเดินยาวกว่า 2 กิโลเมตร ขนานไปกับคลองซอยสายเล็ก ๆ ที่แตกแขนงจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาในพื้นที่ที่ทำการเกษตรของชาวบ้าน จัดจำหน่ายต้นไม้นานาพันธุ์, ปลาสวยงามหลากชนิด, และผลิตผลของชาวบ้าน เช่น มะพร้าวอ่อน มะม่วงน้ำดอกไม้ กล้วยหอม ชมพู่มะเหมี่ยว, ขนมหวานพื้นเมืองฝีมือชาวบ้าน เช่น ขนมถ้วย ขนมจาก กล้วยแขก ม้าฮ่อ ขนมตระกูลทอง กาละแมกวน ฝอยเงินที่ใช้ไข่ขาวต้มในน้ำเชื่อมรสหวานชุ่มคอ หมี่กรอบโบราณ ฯลฯ อาหารคาว เช่น ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน ไส้กรอกโบราณ ห่อหมกหมู หอยทอดในถาดขนมครก ไก่สะเต๊ะ น้ำพริกต่าง ๆ พร้อมเลือกผักเคียงข้างจาน เช่น ผักกระถิน ผักบุ้ง ผักหนาม ผักดองชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ภูมิปัญญา ท้องถิ่นในการแปรรูปพืชผักให้มีรับประทานนอกฤดูกาล
นอกจากนี้ในตลาดน้ำใกล้กรุง ฯ แห่งนี้ยังเป็น ศูนย์รวมสินค้า OTOP ที่สร้างสรรค์จากคนในชุมชนบางน้ำพึ่ง และตำบล ใกล้เคียงในจังหวัดสมุทรปราการ เช่น ดอกไม้เกล็ดปลา บ้านธูปสมุนไพร ผลิตภัณฑ์จากทะเลอย่างกุ้งแห้ง กะปิ หอยดอง ภาพประดิษฐ์จากรกมะพร้าว ของตกแต่งบ้าน – ดอกหญ้าหลากสี,โมบายล์ ลูกตีนเป็ดรูปร่างแปลกตา เป็นต้น ใครจะนั่งชมบรรยากาศตลาดริมน้ำ พร้อมทั้งรับประทานอาหารอร่อย ๆ ที่มีให้เลือกทั้งก๋วยเตี๋ยวหมู เย็นตาโฟ บะหมี่หมูแดง ราดหน้า กระเพาะปลา ข้าวตู หมี่กรอบ ข้าวหน้าต่าง ๆ ขนมจีน น้ำยา น้ำพริกหรือจะเลือกผสมกับแกง แกล้มกับผักสดผักดอง แม่ค้าพ่อขายจะลอยลำเรือ พร้อมรับ รายการอาหารจาก นักท่องเที่ยว ซึ่งจะมาเป็นครอบครัวหรือหมู่คณะ จับจองเก้าอี้ไม้ ตัวเตี้ย นั่งพูดคุยและชมบรรยากาศตลาดริมน้ำและสวนเกษตร ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ หรือเช่าเรือพายชมสวนและตลาดน้ำ เขาก็มีบริการพายเรือจนเมื่อย หากมีเวลามากหน่อยจะพายให้ถึง ประตูน้ำ ที่จะออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะได้ชมบรรยากาศของ บ้านเรือนในวิถีไทย ๆ
ตลาดน้ำบางน้ำพึ่งจะเปิดเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ เท่านั้น เริ่มเปิดตลาดประมาณแปดโมงเช้าเป็นต้นไปจนถึงเย็น ๆ เลือกชมบรรยากาศตลาดน้ำ ชิมอาหารอร่อยที่มีให้เลือกชิม ตลอดวัน ทั้งของคาว - ของหวาน – ผลไม้ตามฤดูกาล อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้และใครที่เดินชมตลาดจนเมื่อยจะแวะพักนวดตัว นวดเท้า ทางชุมชนก็จัดหมอนวดมือทองไว้บริการนักท่องเที่ยว รับรองสามารถเดินชมตลาดได้อีกหลายรอบ หรือหากนักท่องเที่ยวท่านใดสนใจจะเรียนรู้วิถีชีวิตชุมชนชาวสวน จะพักค้างคืนที่ “ โฮมสเตย์บางน้ำพึ่ง ” เป็นบ้านพักที่ปลูกอาศัยติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บางหลังอยู่ติดริมคลองบางน้ำผึ้งสามารถกางเต็นท์นอนได้ มีบ้านไทยโบราณอายุกว่า 100 ปี เลือกพักตามความชอบและเหมาะสมกับนักท่องเที่ยว

วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

ช้างเอราวัณ

     ในเรื่องรามายณะ และ ความเชื่อของศาสนาฮินดู กล่าวถึงพระอินทร์มีร่างสีเขียว มีพาหนะเป็นช้าง ๓ เชือก เชือกหนึ่งพระศิวะเป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า เอราวัณ เชือกหนึ่งพระพรหมป็นผู้ประทานให้ชื่อว่า คีรีเมขล์ไตรดายุค และอีกเชือกหนึ่งพระวิษณุเป็นผู้ ประทานให้ชื่อว่า เอกทันต์ ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีพละกำลังมากที่สุดในหมู่ ช้างทั้ง ๓ เชือก และเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ของพระอินทร์ เชื่อกันว่าช้างเชือกนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ต้องการจะเสด็จ ไปไหนเอราวัณเทพบุตร ก็จะแปลงกายเป็นช้างเผือก ขนาดสูงกว่าภูเขาเอเวอร์เรสต์ มี ๓๓ เศียร แต่ละเศียรมีงา ๗ งา งาแต่ละงายาวถึง ๔ ล้านวา
งาแต่ละงามีสระบัว ๗ สระ แต่ละสระมีดอกบัว ๗ ดอก แต่ละดอกมีกลีบ ๗ กลีบ มี ๗ เกสร แต่ละเกสรมีปราสาทอยู่ ๗ หลัง ปราสาทแต่ละหลังมี ๗ ชั้น แต่ละชั้นมี ๗ ห้อง แต่ละห้องมี ๗ บัลลังค์ แต่ละบัลลังค์มีเทพธิดาสถิต ๗ องค์ เทพธิดาแต่ละองค์มีบริวาร องค์ละ ๗ นาง เทพธิดาบริวารแต่ ละนางมีนางทาสีนางละ ๗ ทาสี รวมทั้งนางเทพอัปสรทั้งหมดประ มาณ ๑๙๐,๒๔๘,๔๓๓ นาง เทพธิดา บริวารรวมกันทั้งหมดประมาณ ๑๓,๓๓๑,๖๖๙,๐๓๑ นาง เศียรทั้ง ๓๓ ของช้างเอราวัณมีอุเปนทเทพยดา สถิตเศียรละ ๑ องค์ โดยปกติศิลปินไทยมักจะทำช้าง เอราวัณ เป็นช้าง ๓ เศียร